พูดถึง Mario ผมเชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน คุณลุงหนวดเสื้อแดงเอี้ยมยีนส์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาได้ปรากฎตัวตนในโลกของเกมครั้งแรกจากเกม Donkey Kong เมื่อปี 1981 และแยกมาเป็นแฟรนไชส์ของตัวเองกับเกม Mario Bros. ในปี 1983 และ Super Mario Bros. ในปี 1985 บนเครื่อง NES นั่นเอง นับได้ว่าถ้าพูดถึงค่าย Nintendo หน้ามาริโอ้ก็ลอยมากันเลยทีเดียว 55+
Super Mario Odyssey ก็เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ Mario สำหรับเครื่องเล่นเกม Generation ล่าสุดอย่าง Nintendo Switch ที่มีความน่าเล่นมาก ด้วยตัวเกมที่มีกราฟฟิค 3 มิติสวยงามพอตัว มีด่าน (Kingdom) ที่มีสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และมีความท้าทายในการเล่นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ยากมากมายจนเล่นไม่ไหว
แม้คุณภาพด้านกราฟฟิคจะสู้เครื่องเล่นแพลทฟอร์มอื่นๆเช่น PS4 ยังไม่ได้ แต่ Nintendo Switch มีประสิทธิภาพพอที่จะรีดเฟรมเรตภายในเกมนี้ให้ออกมาอยู่ที่ระดับ 60FPS ทั้ง Portable Mode และ Dock Mode ซึ่งเป็นอะไรที่ดีมาก เพราะได้เล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการสะดุดให้เห็นแม้แต่น้อยเลย
ด้าน Gameplay ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Super Mario เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือบางอย่างดูมีอิสระในโลกกว้างและมีอะไรให้ทำมากขึ้น และยังมีให้หวนระลึกถึงความทรงจำวัยเด็กในบางด่านด้วยการเพิ่มกราฟฟิคแบบ 8-Bit สมัยยุค Super Mario Bros. มาให้ด้วย แม้ว่าฉากในเกมจะเป็น 3D แต่มันก็ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวจริงๆ แถมมี Assist Mode สำหรับผู้เล่นมือใหม่ ที่ทำให้เล่นง่ายขึ้น ด้วยการมีลูกศรชี้ทิศทางว่าจะไปเก็บ Moon แต่ละดวงตรงไหน และมีพลังชีวิตให้เยอะ แม้คุณจะหล่นลงไปในลาวาเหลว คุณก็จะไม่ตาย แถมมีฟองอากาศมาช่วยคุณกลับไปอยู่ ณ จุดที่คุณเล่นก่อนตกอีกด้วย ส่วนบอสใหญ่ของเกมนี้ แน่นอนครับ ก็หนีไม่พ้นเจ้า Bowser ที่จ้องจะจับเจ้าหญิง Peace ไปเป็นภรรยาของมัน (มุขเดิมของเกมนี้ 55+)
ข้อเสียของเกมนี้จะพูดถึงไม่ได้เลย คือตัวเกมค่อนข้างใช้เวลาเล่นไม่นานเลยในแต่ละ Kingdoms เลยทำให้เกมดูจบเร็วไปหน่อย
สุดท้ายนี้ ถ้าใครมีแผนที่จะซื้อเครื่อง Nintendo Switch หรือมีเครื่องอยู่แล้ว เกม Mario Odyssey ก็เป็นอีกหนึ่งเกม "ที่ควรมี" ไว้ติดเครื่องครับ เพราะนอกจากตัวเกมที่เล่นได้สนุกสนานไม่น่าเบื่อแล้ว Mario มันคือสัญลักษณ์ของค่าย Nintendo ไงล่ะครับ แหะๆ
เอาใจผมไปเลยสำหรับเกมนี้ 10/10 แม้เกมจะสั้นไปหน่อยก็ตาม 5555